ค. บทบาทของครอบครัว
ในฐานะที่เป็นแขกไปเยี่ยมบ้านคนอื่น ท่านอาจให้คำแนะนำบางอย่างแก่ครอบครัวและช่วยให้พวกเขาเข้าใจถึงความต้องการของผู้สูงอายุที่อยู่ในบ้าน
ข้อพึงปฏิบัติที่เป็นประโยชน์มีดังต่อไปนี้
:
1. สนับสนุนให้ผู้สูงอายุดำเนินชีวิตประจำวันเหมือนที่เคยปฏิบัติในบ้านให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
2. พยายามอย่าให้ผู้สูงอายุอยู่ว่าง โดยให้เพื่อนบ้านหรือญาติมาเยี่ยมเยียนบ่อยๆ
หรือให้เขาทำกิจกรรมฆ่าเวลา เช่นเล่นอักษรไขว้ เล่นหมากรุก ฯลฯ
3. ในแต่ละวันหากผู้สูงอายุรู้สึกเหนื่อย ต้องให้เขาได้พักผ่อน
4. ต้องเอาใจใส่ดูแลอย่าปล่อยให้ผิวหนังแห้ง ต้องให้รับประทานอาหารอย่างมีสัดส่วนเหมาะสม
และดื่มน้ำเพียงพอเพื่อป้องกันร่างกายขาดน้ำ
5. ระวังระบบการขับถ่ายต้องสม่ำเสมอ หากมีอาการท้องผูกให้ใช้ยาถ่ายชนิดอ่อน
โดยรับประทานก่อนนอนหรือเวลาที่ต้องการ
ง. ป้องกันการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ
เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ :
- บันไดควรมีแสงสว่างเพียงพอ รวมถึงจุดต่างระดับต่างๆ
- บันไดควรมีราวจับ และชั้นต่างระดับควรมีเครื่องหมายบอก
- อย่างลงน้ำมันหรือขัดพื้นเกินควร พรมต้องไม่ย่นยับและไม่ให้มีน้ำหกบนพื้น
- ของเด็กเล่นควรเก็บเป็นที่เป็นทาง ไม่ควรปล่อยทิ้งเกะกะตามพื้น
โดยเฉพาะที่พื้นล่างสุดของขั้นบันไดหรือในห้องนั่งเล่น
- อย่าให้ผู้สูงอายุเดินไปมาตอนที่พื้นห้องยังเปียกอยู่หรือหลังการขัดพื้น
อย่าใส่ถุงเท้าเดินบนพื้นเรียบขัดมัน
จ. ตระหนักถึงอาการเจ็บทั่วไปและความสามารถที่สำคัญบางประการ
โรคทุกชนิดจะมีปัญหาเพิ่มขึ้นหากเกิดกับผู้สูงอายุ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องตระหนักให้ดีถึงปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพของผู้สูงอายุที่เราไปเยี่ยม
เพื่อที่เราจะได้ไม่ไปทำให้อาการของเขาแย่ลงไป เช่น เราอาจนำเอาชอกโกแล็ตไปให้ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน
หรือเอาส้มไปให้ผู้ที่เป็นโรคแก๊ซในกระเพาะ เป็นต้น
บ่อยครั้ง ผู้สูงอายุอาจได้รับการรักษาหลายรูปแบบและทานยามากมายหลายชนิด
บางทีก็เป็นการยากสำหรับเขาที่จะจดจำยาต่างๆ ได้ทั้งหมดว่ายาอะไรแก้อะไร
ทานเมื่อใด ทานครั้งละเท่าใด ฯลฯ หากท่านช่วยแนะนำได้ก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
อีกประการหนึ่งคือ การเดินทางไปพบแพทย์อาจเป็นกิจกรรมที่ยุ่งยากมากทั้งสำหรับผู้สูงอายุและผู้ดูแล
ให้ตรวจสอบดูว่ามีความต้องการเรื่องความช่วยเหลือใดบ้างที่จำเป็น
การเจ็บป่วยอาจรุนแรงและเรื้อรัง
อาการป่วยรุนแรงซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของอาการติดเชื้อจะไม่เกิดขึ้นนาน
อาจหายได้ภายใน 7-10 วัน ส่วนการเจ็บป่วยประเภทเรื้อรังนั้นจะยืดเยื้อมากกว่า
10 วันขึ้นไป และมักจะก่อให้เกิดอาการแทรกซ้อน หรือทำให้ผู้ป่วยเกิดการไร้สมรรถภาพต่างๆ
ได้ ผู้เยาว์มักจะหายเร็วกว่าเมื่อเทียบกับผู้สูงอายุ
ความกังวลของเราน่าจะเกี่ยวกับปัญหาโรคร้ายเรื้อรังบางอย่าง
เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคตับอักเสบ ความดันสูง อัมพฤกษ์ โรคไต
ไตล้มเหลว โรคกระดูกพรุน โรคลมบ้าหมู หืด เส้นเลือดหัวใจตีบ ซึ่งโรคเหล่านี้มักจะเกิดกับผู้สูงอายุ โรคอัมพฤกษ์นั้นหลากหลาย
ยิ่งอายุมากขึ้นเท่าใดยิ่งจะมีโอกาสเป็นโรคอัมพฤกษ์มากขึ้นเท่านั้น
เป็นการง่ายที่จะจำโรค 12 โรคที่ขึ้นต้นภาษาอังกฤษด้วยอักษร
"I"
Immobility (ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้)
Instability (การทรงตัวที่ไม่มั่นคง)
Incontinence (ไม่คงเส้นคงวา)
Intellectual impairment (หลงลืม ซึมเศร้า)
Infections (โรคติดเชื้อ)
Impairment of vision and hearing (ตามัวหูตึง)
Isolation (ปลีกตัวออกจากสังคมหรือไม่อยากพูดกับคนที่หูหนวกตาบอด)
Insomnia (โรคนอนไม่หลับ)
Inanition (รับประทานอาหารไม่ถูกหลักโภชนาการ)
Impecunity (โรคทรัพย์จาง)
Impotence (โรคไร้สมรรถภาพ)
Immune deficiency (โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง)
ปัญหาดังกล่าวอาจก่อให้เกิดความไม่เข้าใจกันระหว่างสมาชิกในครอบครัว
ซึ่งต่างคนต่างสาละวนอยู่กับการทำมาหากินเลยไม่มีเวลาฟังผู้สูงอายุ
ต้องใช้ความเพียรสูงเพื่อที่จะจัดการกับปัญหาเหล่านั้น
ฉ. ผู้สูงอายุที่เสี่ยงกับอันตรายมากที่สุด
- ผู้สูงอายุที่อยู่เพียงลำพัง
- คู่ชีวิตคนหนึ่งคนใดเสียชีวิตลง จากที่อยู่กันเพียงลำพังสองคน
- คนที่ชรามากๆ อายุ 85 ปีขึ้นไป
- ผู้สูงอายุที่ไม่มีเงิน
ช. ข้อคิดเมื่อเยี่ยมผู้สูงอายุ
1. พยายามเรียนรู้เกี่ยวกับสุขภาพของเขา ไม่ว่าจะเกี่ยวกับฝ่ายกาย
จิต สังคม
2. เรียนรู้ถึงสมาชิกของครอบครัวและความสัมพันธ์ของพวกเขาบ้างก็ดี
สืบให้ได้ว่าใครเป็นผู้ดูแลเพื่อจะได้ให้กำลังใจแก่คนนั้น ให้มีการผลัดเวรหรือมีการพักกันบ้าง
ฯลฯ
3. พยายามให้ความสนใจเป็นพิเศษในเรื่องความต้องการของผู้สูงอายุ
เป็นต้นเรื่องอาหาร ยา การทำความสะอาดห้อง การซักเสื้อผ้า ฯลฯ
4. เสนอให้ความช่วยเหลือที่ท่านสามารถทำได้ระยะยาว หากท่านทำงานเป็นทีมกับคนในชุมชนหรือเพื่อนบ้าน
ท่านจะทำงานได้มากขึ้นและสม่ำเสมอขึ้น
5. ในขณะเยี่ยม ให้นั่งใกล้ๆ หันหน้าไปหาเขา พูดชัดๆ และพูดกับเขาโดยตรงแทนที่จะหันไปพูดกับคนอื่นในห้อง
เพราะการมองอะไรไม่ชัดและอาการหูตึงอาจทำให้ผู้สูงอายุตามการสนทนาไม่ทันหากมีหลายฝ่ายพูดพร้อมกัน
6. พยายามฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ จงระลึกเสมอว่าผู้สูงอายุอาจหูตึง
ตามัว ความจำเสื่อม ที่สำคัญท่านต้องพูดให้ชัดถ้อยชัดคำ พูดช้าๆ
และใช้ภาษาที่ฟังง่าย
7. บางครั้งผู้สูงอายุต้องเฝ้าโยงเป็นเพียงเพราะไม่มีรถเข็น ลองหาทางเช่ารถเข็นดู
แล้วพาเขาไปเที่ยวนอกบ้านพร้อมกับครอบครัวของเขา
8. หากท่านสังเกตเห็นจุดใดไม่ค่อยปลอดภัยสำหรับผู้สูงอายุ ก็ช่วยให้คำแนะนำไปว่าจะทำอย่างไรให้มีความปลอดภัยในบ้าน
เช่น ยึดพรมให้แน่นกับพื้นไม่ให้เกิดการเลื่อนไหล ทำราวยึดในห้องน้ำ
ฯลฯ
9. ผู้สูงอายุและครอบครัวอาจเป็นศาสนิกอื่น ให้ถามเขาว่าต้องการพระสงฆ์หรือที่ปรึกษามาเยี่ยมไหม
สวดพร้อมกับเขาหากพวกเขาต้องการ โปรดดูบทสวดต่างๆ ท้ายเล่ม
10. อย่าเอาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น สายประคำ เสื้อจำพวก ฯลฯ ไปมอบให้ผู้สูงอายุ
เว้นเสียแต่ว่าเขาขอมา
11. ความซื่อสัตย์-ผู้สูงอายุไม่ใช่เด็ก เขาหวังว่าผู้ดูแลเป็นคนซื่อสัตย์ในคำสัญญา
เวลาอาจเหลือน้อยสำหรับผู้ที่มีอายุมาก ในการสนทนอย่าเลี่ยงประเด็นด้วยการพูดว่า
"ไม่ต้องห่วง" แล้วเปลี่ยนเรื่อง หากท่านแก้ปัญหาไม่ได้
ก็ให้หาคนอื่นที่สามารถแก้ปัญหาได้ไปแทน
12. ให้ทันกับเหตุการณ์กับโครงการต่างๆ ของวัดหรือชุมชนคาทอลิกที่ทำงานเกี่ยวข้องกับบุคคลที่ท่านไปเยี่ยม
2. การเดินทางร่วมกับผู้ป่วยระยะสุดท้าย
ก. คำนำ
หลักการเยี่ยมผู้ป่วยตามบ้านและตามโรงพยาบาลดังที่กล่าวมาข้างต้นนั้น
ท่านสามารถนำไปใช้ได้ทั้งนั้น และต่อไปนี้เป็นคำแนะนำเพิ่มเติมเพื่อให้ท่านได้พิจารณา
:
1. กระบวนการเข้าเยี่ยมจะแตกต่างออกไปหากบุคคลที่จะไปเยี่ยมอยู่ลำพังคนเดียวหรืออยู่กับสมาชิกคนหนึ่งคนใดของครอบครัว
2. ท่านรู้จักคนที่จะไปเยี่ยมมาก่อนหรือเปล่า หากยังไม่รู้จัก ต้องพยายามสร้างความสนิทสนมให้เกิดขึ้นก่อน
3. หากผู้ป่วยไม่ทราบว่าตนมีอาการป่วยขั้นสุดท้ายก็ไม่ควรบอกเขา
บ่อยครั้งญาติพี่น้องไม่ต้องการให้ผู้ป่วยทราบ เราต้องให้ความเคารพต่อสิ่งที่พวกเขาปรารถนา
4. เมื่อผู้ป่วยพูดอาจแสดงอารมณ์ออกมาในหลายรูปแบบ เราต้องฟังอย่างเดียว
ห้ามถามซอกแซก เพียงแต่พูดว่า "ฉันเข้าใจดี มันเป็นเรื่องลำบากใจสำหรับคุณ"
พยายามให้ผู้ป่วยได้พูดออกมา ส่วนท่านรับฟังอย่างเดียว และอย่าพูดขัดจังหวะเขา
5. ฟังให้มากกว่าพูด
6. เคารพความต้องการของผู้ป่วยเสมอ พยายามทำให้เขารู้สึกสบาย ทั้งสติปัญญา
ร่างกาย และอารมณ์
7. อย่าพยายามเอาความคิดอะไรของตนเองไปยัดใส่ให้กับผู้ป่วย
8. ผู้ป่วยที่กำลังใกล้เสียชีวิตมีความปรารถนาอะไรบางอย่างในช่วงสุดท้ายของชีวิตที่อยากทำ
ตรงนี้ท่านสามารถช่วยเขาได้
9. ถามว่าเขาต้องการคุยกับทนายความไหมเพื่อจัดการกับมรดก หรือต้องการพบพระสงฆ์ไหมเพื่อรับศีลเจิมหรือศีลอภัยบาป
10. ช่วยผู้ป่วยให้พูดเกี่ยวกับความแตกร้าวในความสัมพันธ์ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข
หรือเกี่ยวกับเรื่องเงินทองที่ผู้ป่วยอยากพูด
11. สวดพร้อมกับเขาถ้าเขายอม
12. บุคคลประเภทนี้อาจต้องการการเยี่ยมมากกว่าหนึ่งครั้ง ไม่ควรพลาดโอกาสหากท่านต้องการติดตามผล
13. ให้เบอร์โทรศัพท์ของท่านไว้เพื่อผู้ป่วยที่ต้องการติดต่อท่าน
การทอดทิ้งผู้ป่วยโดยทันทีทันใดเป็นเรื่องปวดร้าวซึ่งควรหลีกเลี่ยงเป็นอย่างยิ่ง
ข. เข้าใจความต้องการของผู้ป่วยระยะสุดท้าย
สมมุติว่าผู้ป่วยและครอบครัวได้รับรู้ถึงอาการป่วยและการคาดการณ์ของแพทย์ว่าผู้ป่วยจะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานเท่าไร
หากผู้ป่วยยังไม่ทราบถึงความจริงถึงสถานภาพของตนเอง ก็ขอให้เคารพความตั้งใจของครอบครัวและปฏิบัติตนไปตามนั้น
การสนทนากับผู้ป่วยและครอบครัวจะง่ายขึ้นหากความจริงปรากฏออกมาแล้ว
เพราะไม่จำเป็นที่จะต้องมาคอยปิดบังความจริง ซึ่งเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้ป่วยเป็นคนที่มีความรู้สึกไวและดูเหมือนจะรู้เรื่องบ้างแล้ว
- ประเภทของผู้เจ็บป่วย
คำว่า "ผู้ป่วยระยะสุดท้าย" มีความหมายกว้าง ครอบคลุมถึงอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย
อาการสุดท้ายส่วนใหญ่เกิดขึ้นเพราะโรคมะเร็ง แต่ก็มีโรคอื่นอีกเช่นกันที่เป็นอาการขั้นสุดท้าย
เช่น โรคไตล้มเหลว แพทย์เป็นผู้ให้คำจำกัดความเอง ลงประเมินความเห็นว่าคนไข้จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน
6 เดือน จึงขอให้เราระลึกว่ามีแต่พระเป็นเจ้าเท่านั้นที่ล่วงรู้ความจริง
แพทย์ได้แต่ประเมินแบบคาดการณ์เท่านั้น
|