1. ศีลเจิมผู้ป่วย
มีแต่ผู้ได้รับศีลบรรพชาแล้วเท่านั้น (พระสงฆ์หรือสังฆานุกร)
ที่ประกอบศีลเจิมได้
พิธีเจิมผู้ป่วยเป็นศีลศักดิ์สิทธิ์สำหรับ:
การบำบัดทั้งกายและวิญญาณ
ความบรรเทาใจแก่ผู้ป่วยหนักที่อาการส่อว่าอาจถึงขั้นต้องเสียชีวิต
การสัมผัสกับพระคริสตเจ้าผู้ทรงเสด็จมาเพื่อประทานความบรรเทาและให้เราพ้นจากความกังวล
พระคัมภีร์สอนเราว่า ศิษย์ของพระเยซูเจ้ายังคงประกอบพันธกิจในการเอาใจใส่ดูแลคนเจ็บไข้ได้ป่วยโดยการบำบัดให้หาย
ทำการเจิมและโปรดศีลอภัยบาป "เขาได้ขับผีให้ออกเสียหลายผี และได้เอาน้ำมันทาคนเจ็บป่วยหลายคนให้หายโรค"
(มก 6:13)
"มีผู้ใดในพวกท่านเจ็บป่วยหรือ จงให้ผู้นั้นเชิญบรรดาผู้ปกครองของพระศาสนจักรมา
และให้ท่านเหล่านั้นอธิษฐานเพื่อเขา และเจิมเขาด้วยน้ำมันในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า
การอธิษฐานด้วยความเชื่อจะช่วยให้ผู้ป่วยรอดชีวิต และองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงโปรดให้เขาหายโรค
และถ้าเขาได้กระทำบาป พระองค์ก็จะทรงอภัยให้" (ยก 5:14-15)
ควรรับศีลเจิมเมื่อใด?
เมื่อสมาชิกคนใดคนหนึ่งของครอบครัวหรือของวัดเจ็บป่วยนอนอยู่บนเตียงเป็นเวลานาน
(เช่นในกรณีที่เป็นไข้เลือดออก) หรือเมื่อจำเป็นต้องมีการไปอยู่โรงพยาบาลและมีการผ่าตัด
กรุณาช่วยแจ้งกลุ่มเพื่อนบ้านหรือกลุ่มสมาชิกของวัดที่มีหน้าที่ให้การอภิบาลแก่ผู้ป่วยได้ทราบ
พวกเขาจะรีบจัดการให้มีการเยี่ยม หรืออาจขอให้พระสงฆ์ไปเอง หรือให้ผู้ที่รับหน้าที่ส่งศีลเสบียงไปเยี่ยมอย่างสม่ำเสมอ
น่าจะให้ผู้ป่วยมีโอกาสรับศีลอภัยบาป ศีลเจิมและศีลมหาสนิทในช่วงนี้
หากเป็นความต้องการของเขา ศีลอภัยบาปและศีลเจิมเป็นหน้าที่จำเพาะของพระสงฆ์
หากผู้ป่วยมีอาการหนักมาก ขอให้ติดต่อพระสงฆ์ให้ไปเยี่ยมโดยทันที
อย่ารอจนกระทั่งท่านเห็นว่าผู้ป่วยใกล้สิ้นใจแล้วถึงไปตามพระสงฆ์
แต่ไม่ต้องตามพระสงฆ์หลายองค์ให้มาทำพิธีศีลเจิมซ้ำ เพราะท่านก็รู้ดีอยู่ว่ามันไม่เป็นการดีสำหรับผู้ป่วย
หากท่านไม่แน่ใจว่าถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะไปตามพระสงฆ์ ก็ขอให้เช็คได้กับพระสงฆ์เองหรือกับคณะของวัดที่มีหน้าที่อภิบาลผู้ป่วย
ศีลเจิมมีความหมายต่อผู้ป่วยอย่างไรบ้าง?
ตามหนังสือคู่มือศีลเจิมปี 1972 "ศีลศักดิ์สิทธิ์นี้ประทานพระหรรษทานของพระจิตแก่ผู้ป่วย
อาศัยพระหรรษทานนี้ผู้ป่วยจะได้รับความช่วยเหลือ ได้รับความรอด ได้รับพลังแห่งความวางใจในพระเป็นเจ้า
ได้รับพลังที่จะต่อต้านกับการประจญล่อลวงของปิศาจและต่อความกลัวที่จะต้องตาย
ดังนั้นผู้ป่วยจะสามารถไม่เพียงแต่ที่จะทนต่อความทุกข์ทรมานอย่างกล้าหาญเท่านั้น
แต่ยังสามารถที่จะต่อสู้กับมันได้อีกด้วย สุขภาพอาจกลับคืนดีขึ้นใหม่ได้หลังการรับศีลเจิม
หากสิ่งนี้จะเป็นคุณต่อความรอดของผู้ป่วย ในกรณีจำเป็นศีลศักดิ์สิทธิ์ยังโปรดบาปรวมถึงการใช้โทษบาปให้แก่ผู้ป่วยด้วย"
เมื่อคนหนุ่มสาว เด็ก หรือผู้สูงอายุได้รับศีลเจิมจากพระสงฆ์
เขาก็ได้รับพระหรรษทานต่างๆ ดังต่อไปนี้ :
1. พระจิตเจ้าจะทรงประทานพระพรสำหรับกายและวิญญาณของผู้ป่วย มันเป็นเครื่องหมายแห่งความรักอย่างมิรู้คลายของพระเป็นเจ้าต่อเราอีกทั้งเป็นการเอาใจใส่ของพระองค์ในเวลาที่เราช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย
บาปได้รับการอภัยและสุขภาพก็ได้รับพระพรให้หาย
2. ศีลเจิมช่วยให้ความไว้ใจของเราในคุณงามความดีของพระเป็นเจ้าทวีความเข้มแข็งขึ้น
ยามที่เราเจ็บป่วย เรามักจะเกิดท้อถอยง่ายและพ่ายแพ้แก่ความรุ่มร้อนใจและความกลัวต่างๆ
เราอาจรู้สึกว่าไม่มีใครช่วยอะไรได้หรือรู้สึกสิ้นหวัง และบางครั้งแม้แต่การสวดภาวนาก็กลายเป็นเรื่องที่ยากลำบาก
เราอาจถูกประจญให้เป็นกบฏต่อพระเป็นเจ้า แล้วเริ่มสงสัยว่าความเชื่อของเราเป็นสิ่งหลอกลวงหรือเปล่า
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการทรมานและความเจ็บปวดเป็นเรื่องยากที่จะทน
ศีลเจิมจะขับไล่การประจญและความกลัวต่างๆ เหล่านั้นให้หมดสิ้นไป
ในขณะเดียวกันก็ฟื้นฟูและเพิ่มพลังแห่งความวางใจของเราในพระเป็นเจ้า
ช่วยประทานสันติและความสงบแก่จิตใจของเรา
3. ศีลเจิมช่วยให้เราหายจากโรคหากนี่เป็นไปเพื่อความดีฝ่ายจิตของเรา
ขณะที่ปล่อยให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้า เราควรพยายามทุกวิถีทางที่จะทำให้เราหายจากโรคด้วยการให้ความร่วมมือกับแพทย์
พยาบาล ผู้ดูแลสุขภาพที่เป็นมืออาชีพ และบุคคลอื่นๆ ที่ดูแลเราในยามที่เราเจ็บไข้ได้ป่วย
หากเรายอมนบนอบ เราก็ทำตามน้ำพระทัยพระเป็นเจ้า และความนบนอบคือ
ฤทธิ์กุศลประการหนึ่งของผู้ป่วย
4. ศีลเจิมให้อภัยบาป การเจิมเป็นการเพิ่มพลังให้แก่ศีลอภัยบาป ซึ่งเป็นศีลหลักในการอภัยบาปและการคืนดี
ทำให้ผู้ป่วยสามารถที่จะยอมรับสภาพของตน ที่จะมอบความทุกข์ทรมานของตนร่วมกับพระมหาทรมานของพระคริสตเจ้า
อีกทั้งยอมรับการทรมานเหล่านั้นเพื่อเป็นการชดเชยบาปแห่งตน
ข้อสังเกต: เป็นเรื่องสำคัญที่จะไม่ต้องรอจนกระทั่งผู้ป่วยไม่รู้ตัวหรือใกล้สิ้นใจก่อนที่จะไปตามพระสงฆ์
การเตรียมตัว
เกี่ยวกับการทำพิธี :
มีองค์ประกอบ 3 ส่วนด้วยกันในการประกอบพิธีศีลเจิม
1. พระวาจาของพระเป็นเจ้าได้รับการประกาศและการตอบรับมีอยู่ในบท
"ข้าพเจ้าเชื่อ" พระศาสนจักรพร้อมกับพระสงฆ์และชุมชนสัตบุรุษอยู่ที่นั้นและสวดภาวนาสำหรับผู้ป่วย
2. การสัมผัสเพื่อการบำบัดของพระเยซูเจ้าได้ถูกนำมาใช้อีกครั้งหนึ่งในตอนที่มี
"การสัมผัสด้วยมือ" พระศาสนจักรสวดวิงวอนขอพระหรรษทานของพระจิตสำหรับผู้ป่วย
3. "การเจิมด้วยน้ำมัน" เป็นหลักประกันถึงการประทับอยู่ของพระจิตรวมถึงการเยียวยารักษาโรค
ผู้ป่วยจะได้รับพระพรให้กายและจิตเข้มแข็งเพื่อที่จะสามารถต่อสู้กับความเจ็บป่วยของพวกเขาได้
สำหรับผู้ป่วยที่อยู่ตามบ้าน
สิ่งที่ต้องการสำหรับประกอบพิธีมีโต๊ะเล็กตัวหนึ่งหรือโต๊ะเล็กที่อยู่มุมห้องผู้ป่วย
คลุมด้วยผ้าขาว ควรมีไม้กางเขนและเทียนตั้งบนโต๊ะ ควรมีขันน้ำสำหรับล้างมือด้วย
ส่วนอื่นๆ พระสงฆ์จะเป็นผู้นำมาเอง
สำหรับผู้ป่วยในโรงพยาบาล:
โต๊ะที่เลื่อนเหนือเตียงสำหรับรับประทานอาหาร หรือตู้เสื้อผ้าข้างเตียง
ผู้ใดควรร่วมในพิธี?
ทุกคนที่มีส่วนร่วมในการรักษาพยาบาล ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว เพื่อน
หรือพยาบาล
2. การส่งศีลเสบียง
(ควรเช็คก่อนเสมอว่า ผู้ป่วยต้องการพบพระสงฆ์เพื่อรับศีลอภัยบาปก่อนหรือไม่)
การเตรียมตัว:
มีความเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิดทีเดียวระหว่างการเฉลิมฉลองศีลมหาสนิทของชุมชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันอาทิตย์กับการรับศีลมหาสนิทของผู้ป่วย
นอกเหนือไปจากการที่เราระลึกถึงผู้ป่วยในการสวดภาวนาของมวลชนในพิธีบูชามิสซาขอบพระคุณแล้ว
ผู้ซึ่งไปวัดยังมีหน้าที่จะต้องไปเยี่ยมบรรเทาคนที่ไม่อาจมามีส่วนร่วมกับสัตบุรุษในการเฉลิมฉลองศีลมหาสนิท
จะทำสิ่งนี้ให้ชัดเจนได้โดยการนำศีลเสบียงจากโต๊ะบูชาไปส่งให้แก่ผู้ป่วย
เมื่อนำศีลเสบียงไปส่งผู้ป่วย ควรจะเก็บแผ่นศีลไว้ในตลับพิเศษที่ปิดแน่นมิดชิด
คนที่อยู่กับผู้ป่วยควรเตรียมโต๊ะเล็กๆ ปูด้วยผ้าขาว ควรจุดเทียนหนึ่งหรือสองเล่มบนโต๊ะและจัดขันน้ำเล็กๆ
ไว้ด้วยเพื่อผู้ส่งศีลใช้ล้างนิ้วมือ
|