ทำไมถึงต้องเป็นเรา? ทำไมถึงเกิดขึ้นตอนนี้?
พระเจ้ากำลังเล่นกลอะไรกับฉัน?
เหล่านี้เป็นคำถามที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติต่อการเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานซึ่งดูจะไม่มีความหมายอะไรสำหรับเรา
เพราะว่าความทุกข์เป็นความเร้นลับและเราก็มีความรู้สึกว่าเราช่วยอะไรไม่ได้เลยเมื่อต้องเผชิญกับมัน
บ่อยครั้งมีการประจญที่จะหาคำตอบง่ายๆ หรือหาทางออกแบบรวบรัดสำหรับผู้ที่กำลังเผชิญกับปัญหาการทรมานชนิดที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูกเคยได้ยินบางคนพูดว่า
"การทรมานเป็นเครื่องมือที่พระเป็นเจ้าทรงใช้เรียกความสนใจของเราเพื่อที่จะบรรลุพระประสงค์ของพระองค์ในชีวิตของเรา
มันมิได้เป็นเช่นนั้นเลย พระเป็นเจ้าไม่ได้เป็นผู้ประทานความทุกข์ทรมาน
ดังที่พระเป็นเจ้าได้ทรงมีพระดำรัสต่อชนชาติอิสราเอลไว้ว่า"ประชากรของเราไม่เชื่อฟังเรา
หากชนชาติอิสราเอลเดินตามหนทางของเรา
เราจะปราบศัตรูของพวกเขาให้ราบคาบเพียงแค่สัมผัสครั้งเดียว
เพียงยกมือขึ้นต้านศัตรูของพวกเขา" (สดด. 81: 13-14)
พระเป็นเจ้าเป็นองค์แห่งความรัก
ทรงมีพระทัยอ่อนโยนและเมตตาสงสาร เป็นไปไม่ได้ที่พระองค์จะทรงทำให้เราตกที่อับและประทานให้เราเจ็บหนักเพื่อที่จะเตือนสติเรา
โลกที่เรากำลังอาศัยอยู่นี้เต็มไปด้วยความไม่สมบูรณ์ ความอ่อนแอและข้อจำกัด
การกระทำหรือการละเว้นของเราบ่อยครั้งสามารถนำมาซึ่งความทุกข์ทรมานแก่ผู้อื่นและแก่ตัวเราเอง
วิธีที่เราจัดระเบียบให้กับชีวิตของเราอาจมีผลสืบเนื่องตามมา เช่น
ทำให้ระบบน้ำดื่มน้ำใช้ของเราเกิดมลพิษ การตกงานสำหรับผู้คนนับจำนวนไม่ถ้วนทำให้พวกเขาไม่สามารถได้รับประโยชน์จากสวัสดิการด้านสุขภาพหรือที่อยู่อาศัย
ภัยธรรมชาติก็เช่นกัน มันนำมาซึ่งความทุกข์ทรมาน แต่มันก็เกิดขึ้นโดยปรากฏการณ์ตามธรรมชาติซึ่งเป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งแห่งโลกเราที่ขาดความสมบูรณ์
เราไม่บังอาจที่จะเสแสร้งว่า เราเข้าใจในทุกสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เราสามารถที่จะวางใจได้ว่า
พระเป็นเจ้ามิได้ทรงเป็นผู้ก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานสำหรับเราผู้มีความเข้าใจเพียงเล็กน้อยต่อพระองค์
เมื่อพูดกันมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็ขอบอกได้แต่เพียงว่า ความทุกข์ทรมานยังคงเป็นเรื่องที่เร้นลับเสมอ
การใช้โทษบาปและความทุกข์ทรมาน
เราอาจพูดถึงพระเป็นเจ้าได้ว่าพระองค์ทรงตีสอนเราเฉกเช่นพ่อแม่ที่ดีที่ลงโทษบุตรเพื่อช่วยให้บุตรเติบโตขึ้นเป็นคนดีมีความสุข
พระเยซูเจ้าทรงบอกเราว่า องุ่นทุกต้นต้องมีการพรวนดินเพื่อให้ได้ผลดีดก1
แน่นอนที่สุด พระเป็นเจ้าทรงต้องการให้เราใช้โทษบาปและทำการพลีกรรมด้วยความสมัครใจของเราเอง
เพื่อที่เราจะได้สาละวนอยู่กับสิ่งที่ดีมีความหมายแท้จริงในชีวิต แต่นี่แตกต่างกับความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากการสูญเสียคนที่เรารัก
หรือการที่ทราบว่าท่านกำลังป่วยอยู่ในขั้นวาระสุดท้าย แน่นอน เราคงไม่ขอให้พระเป็นเจ้าทรงประทานโรคมะเร็งแก่เราหรือต้องการให้เยาวชนคนหนึ่งเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ
พระเป็นเจ้าทรงได้ยินเสียงร้องแห่งประชากรของพระองค์
เราทุกคนรู้สึกช่วยอะไรไม่ได้เลยเมื่อต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมาน เราไม่สามารถทำอะไรได้เลยเพื่อบรรเทาทุกข์นั้น
เกิดมีความรู้สึกภายในว่าอยากขอความเมตตาแทนคนที่กำลังทนทุกข์ เราตะโกนออกมาดังๆ
ในความสิ้นหวังของเรา เราทราบจากพระคัมภีร์ว่า พระเป็นเจ้าทรงสดับฟังเสียงเรียกร้องแห่งประชากรของพระองค์2
พระองค์ทรงตอบสนองต่อคำวิงวอนของพวกเขา นี่คือเหตุผลสำหรับผู้ที่กำลังรับทุกข์และผู้ที่รักพวกเขาจะได้มีโอกาสเข้าใกล้ชิดพระมากยิ่งขึ้นในเวลาแห่งความทุกข์โศก
มันไม่ใช่การเล่นกลของพระเป็นเจ้าแต่เป็นความสัมพันธ์ระหว่างพระบิดาผู้เป็นองค์แห่งความรักและบุตรที่กำลังต้องการความช่วยเหลือ
พระเป็นเจ้าทรงประทับอยู่ใกล้ชิดกับเรามากขึ้นเมื่อเรากำลังเจ็บปวด
พระองค์ทรงให้อิสระแก่เราที่จะเรียกหาพระองค์หรือไม่แล้วแต่เราจะเลือกเอา
พระองค์ทรงเคารพเราและตามใจเรา พระองค์ทรงปรารถนาที่จะรวมพวกเราไว้ข้างพระองค์ดังที่พระเยซูเจ้าทรงตรัสไว้
"เฉกเช่นแม่ไก่ที่รวบรวมลูกไก่ไว้ใต้ปีกในเวลาที่มีอันตราย"3
เราต้องเรียนให้พระองค์ทราบว่าเรากำลังได้รับบาดเจ็บและต้องการให้พระองค์ทรงช่วย
พระเยซูเจ้าทรงดำเนินไปพร้อมกับเราในความทุกข์ทรมานของเรา
ในหนังสือพระธรรมใหม่เราทราบดีว่า พระเยซูเจ้าทรงรู้สึกสงสารเมื่อได้ทรงเห็นผู้ใดได้รับทุกข์ทรมาน
พระองค์ทรงบำบัดรักษาผู้ป่วย ทำให้คนง่อยพิการเดินได้ และทรงฟื้นชีพผู้ตาย4
หลังการสิ้นพระชนม์และการกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้า บรรดาอัครสาวกยังคงเป็นประจักษ์พยานถึงพระเมตตาของพระเป็นเจ้าโดยการทำอัศจรรย์บำบัดผู้เจ็บไข้ได้ป่วย
เพียงเงาของนักบุญเปโตรก็เพียงพอที่จะบำบัดรักษาคนพิการและผู้ป่วยได้
พระเป็นเจ้าผู้ทรงเป็นบิดาของเราต้องการให้เราทราบว่า พระองค์ทรงมอบพระบุตรแต่องค์เดียวของพระองค์กับการทนทุกข์ทรมานแสนสาหัสบนไม้กางเขน
เพื่อที่พวกเราจะได้พบหนทางเดียวกันกับพระองค์อาศัยความทุกข์ทรมานของเรา
เพื่อเราจะได้สามารถบรรลุถึงความบริบูรณ์แห่งชีวิต พระเยซูเจ้าทรงได้รับทุกข์ทรมานและพระองค์ทรงบอกเราว่า
เราจะไม่อยู่ตามลำพังเมื่อเราทุกข์ทรมาน เราสามารถเรียกหาพระองค์ เพื่อที่จะทำให้ทุกข์ของเราเบาบางลงและแอกของเราเป็นสิ่งง่าย5
นักบุญเปาโลกล่าวในจดหมายถึงชาวฮีบรู บอกเราว่าพระเยซูเจ้าทรงถ่อมพระองค์เป็นเหมือนอย่างเราบริบูรณ์โดยอาศัยการทรมานของพระองค์
ซึ่งทำให้เราสามารถเข้าถึงพระเป็นเจ้าได้ด้วยความไว้วางใจในเวลาที่เราต้องการความช่วยเหลือ6
แม้เมื่อเราทำให้ชีวิตของเรายุ่งเหยิงและเดินทางผิด พระเป็นเจ้าโดยอาศัยพระคริสตเจ้าจะก้าวเข้ามาในส่วนลึกแห่งความทุกข์ทรมานพร้อมกันกับเรา
พระเยซูเจ้าคือหนทางนำเราสู่พระบิดา และหนทางของเราสู่ความสว่าง พระองค์จะทรงประทานพระจิตของพระองค์ให้คอยนำทางเราผ่านความมืดและความทุกข์ทรมาน7
เราจะไม่มีวันอยู่เพียงลำพัง แม้เมื่อเรารู้สึกเหงาสุดๆ พระเป็นเจ้าจะทรงประทับอยู่กับเราเสมอ
ทุกข์ทรมานเพื่อผู้อื่น
ในฐานะคริสตชนเราทราบดีว่า หากเรายอมทนรับความทุกข์ทรมานของเราด้วยความอดทนและถวายความทุกข์ยากของเราร่วมกับพระทรมานของพระคริสตเจ้า
เราจะได้รับมงกุฎแห่งพระสิริรุ่งโรจน์ในที่สุด นั่นคือชีวิตนิรันดรกับพระเป็นเจ้า8
เราสามารถถวายความทุกข์ยากลำบากของเราร่วมกับการทรมานของพระคริสตเจ้าเพื่อนำโลกให้เข้ามาใกล้ชิดกับพระเป็นเจ้ายิ่งขึ้น
นี่คือรหัสธรรมน่าอัศจรรย์ของการมีส่วนร่วมของเรา ในฐานะที่เป็นมนุษย์
เราสามารถที่จะดำเนินชีวิตเพื่อกันและกัน ถึงแม้ว่าเราจะรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าในความทุกข์ทรมานของเรา
อีกประเด็นหนึ่ง ในจดหมายอีกฉบับหนึ่งถึงชาวโครินธ์ นักบุญเปาโลกล่าวถึงการที่พวกเราเป็นอวัยวะส่วนต่างๆ
ของพระกายทิพย์ของพระคริสตเจ้า หากอวัยวะใดอวัยวะหนึ่งเจ็บ อวัยวะอื่นๆ
ก็มีส่วนได้รับทุกข์ไปด้วย9 การที่เราเต็มใจรับภาระของผู้อื่นและร่วมทุกข์กับพวกเขาเกิดจากความเชื่อลึกๆ
ว่า เราเป็นส่วนหนึ่งของพระกายพระคริสตเจ้าที่ต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน
เราไม่อาจเสแสร้งทำเป็นผู้รู้คำตอบทั้งหมดเกี่ยวกับปัญหาของความทุกข์ทรมานและความบาปต่างๆ
ที่มีอยู่ในโลก จะอย่างไรก็ตาม ความเชื่อของเราในองค์พระเยซูคริสตเจ้าทำให้ความทุกข์ยากของเรามีความหมายและมีความหวัง
2. คำแนะนำในการเยี่ยมผู้ป่วยตามบ้าน
ก่อนการเยี่ยม
1. สวดภาวนาก่อนออกเยี่ยม สวดพร้อมกับเพื่อนที่จะออกไปเยี่ยมด้วยกัน
หากทำได้ วิงวอนขอพระจิตเจ้าให้ช่วยท่านเตรียมพร้อมสำหรับทุกสถานการณ์
2. หาเหตุผลสำหรับการเยี่ยม หากเป็นการเยี่ยมครั้งแรกของท่าน ให้ถามตนเองถึงวัตถุประสงค์ของการเยี่ยม จะต้องทำอย่างไรสำหรับการแนะนำตัวต่อครอบครัวที่กำลังจะไปเยี่ยม
จะเป็นการดีกว่าที่จะไม่ไปเยี่ยม หากท่านไม่สามารถที่จะไปเยี่ยมซ้ำอีก
หรือไม่มีเจตนาที่จะทำการเยี่ยมต่อๆ ไป นอกจากนี้ท่านไม่ควรจะมีความคิดประหลาดๆ
เช่น นำผู้ทิ้งวัดกลับเข้าวัด หรือเปลี่ยนความเชื่อของเขาให้มานับถือศาสนาคาทอลิก
หากแต่หัวใจของท่านควรเป็นเช่นเดียวกับพระเยซูเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาและสงสาร
3. ก่อนออกเยี่ยมควรนัดเสียก่อน ท่านควรทราบล่วงหน้าว่า ผู้ป่วยหรือครอบครัวของเขาต้องการให้มีคนมาเยี่ยม
หรือว่าท่านอยากไปเยี่ยมเองโดยที่ไม่มีการขอร้อง ตรงนี้สำคัญมาก ท่านไม่ควรไปเยี่ยม
หากไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้า
4. หาข้อมูลเกี่ยวกับศาสนาที่ครอบครัวนั้นนับถือและเกี่ยวกับผู้ป่วยด้วย
และสำนึกให้มากเกี่ยวกับขนบธรรมเนียมและวิธีการแต่งกายหรือเกี่ยวกับเรื่องของอาหารการกิน
บางคนไม่อยากให้คนที่เป็นเพศตรงข้ามมาเยี่ยม ผู้เยี่ยมที่เป็นเพศเดียวกันกับผู้ป่วยดูจะเหมาะสมกว่า
5. อย่าใส่เสื้อผ้าสีดำ ซึ่งในหลายๆ วัฒนธรรมหมายถึงการไว้ทุกข์ ให้ใส่เสื้อผ้าที่ดูแล้วสบายตา
6. จงทำใจให้พร้อมที่จะรู้สึกว่าตนช่วยเหลืออะไรไม่ได้ ต้องเสียน้ำตา
หรือรู้สึกถึงการสูญเสียเมื่อท่านทราบข่าวเศร้าของเพื่อนบ้าน จงหลั่งน้ำตาไปกับเขาหากคุณรู้สึกเช่นนั้น
จงพร้อมที่จะรับฟังและสวดภาวนาในใจขณะที่กำลังรับฟังเรื่องราวของเขา นี่เป็นการกระทำที่ให้กำลังใจแก่เขามากกว่าคำพูดใดๆ
ที่ท่านอาจนำมากล่าวได้
7. เลือกวันเวลาที่สะดวกสำหรับครอบครัวที่ท่านจะไปเยี่ยม ใช้เวลาอยู่กับเขาพอสมควรและไม่ควรแสดงอาการรีบเร่ง
ระหว่างการเยี่ยม
1. แนะนำตนเองว่ามาจากวัดไหน หน่วยงานไหน หรือจากเพื่อนบ้านกลุ่มใดแล้วแต่กรณี
แสดงให้เขาเห็นว่า ท่านไม่ได้มาเยี่ยมตามลำพัง แต่นำเอาคำภาวนาและความห่วงใยของทั้งชุมชนมา ฝากด้วย
ทั้งนี้เพื่อทำให้เขามั่นใจว่ามีคนเป็นจำนวนมากที่เห็นใจและอยู่เบื้องหลังในยามที่เขาเกิดมีความยุ่งยาก
2. อย่าให้สัญญาใดๆ ทั้งสิ้นที่ท่านไม่สามารถหรือไม่ได้ตั้งใจที่จะปฏิบัติจะเป็นการดีกว่าที่จะรู้สึกว่าท่านไม่มีประโยชน์และไม่สามารถช่วยอะไรได้
แทนที่จะทำให้ผู้อื่นต้องผิดหวังหรือทรยศต่อความไว้เนื้อเชื่อใจของเขาแต่ควรช่วยกันคิดว่าท่านและชุมชนของท่านพอจะช่วยเหลืออะไรเขาได้บ้าง
3. ประเมินความต้องการของผู้ป่วย คุยถึงความต้องการของเขากับครอบครัวของเขา เป็นสิ่งสำคัญที่จะปฏิบัติตามความปรารถนาของทั้งครอบครัวและของผู้ป่วย
ขออนุญาตเขาก่อนที่จะลงมือทำอะไร ผู้ป่วยและครอบครัวอาจยอมรับความช่วยเหลือของท่านหลังจากที่พวกเขาให้ความไว้เนื้อเชื่อใจท่านเท่านั้น
และสิ่งนี้อาจต้องการการเยี่ยมมากกว่าหนึ่งครั้ง
4. ขออนุญาตเสียก่อนที่จะสวดภาวนาพร้อมกันหรือสวดสำหรับผู้ป่วยแล้วแต่ศาสนาของเขาท่านอาจสวดเงียบๆ
หรือส่งเสียงดังพอได้ยิน ท่านอาจเชิญสมาชิกของครอบครัวให้ร่วมสวดภาวนากับท่านก็ได้
5. หากผู้ป่วยเป็นคาทอลิก ท่านควรถามว่าเขาต้องการให้พระสงฆ์มาเยี่ยมไหมเพื่อรับศีลอภัยบาปและรับศีลเจิม ให้ถามด้วยว่าพวกเขาต้องการที่จะรับศีลมหาสนิทไหม
6. ศัตรูร้ายที่สุดคือ การเร่งรีบ จงพร้อมที่จะอุทิศเวลาของท่าน
7. ฟังมากกว่าพูด ถามในเรื่องที่ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายใจขึ้น อย่าพยายามสอดรู้สอดเห็นเพื่อหาข้อมูลที่เขายังไม่ได้บอก
8. อย่าพยายามกลบเกลื่อนเรื่องที่สร้างความเจ็บปวด ไม่จำเป็นที่ท่านจะต้องมีคำตอบ
แต่ท่านสามารถรับฟังด้วยความเห็นอกเห็นใจและรับรู้ถึงความเจ็บปวดและความกังวลใจของผู้ป่วย
เลี่ยงใช้คำพูด เช่น "ไม่ต้องเป็นห่วง ทุกอย่างจะดีขึ้นเอง"
คำพูดดังกล่าวเป็นการปิดปากผู้ป่วยซึ่งรู้ดีว่าท่านไม่อาจที่จะเข้าใจถึงความเจ็บปวดของเขาได้
ปล่อยให้เขาร้องไห้ เพียงแต่ทำให้เขามั่นใจว่า ท่านอยู่ที่นั่นเพื่อเขา
9. การไปเยี่ยมครั้งละสองคนมักจะบังเกิดผลดีกว่าคนเดียว เพื่อที่คนหนึ่งจะได้อยู่ข้างผู้ป่วย
ส่วนอีกคนพูดคุยถึงความต้องการของผู้ป่วยกับครอบครัวของเขา หรือเตรียมจัดหาเครื่องดื่ม
หรือทำอะไรที่เป็นประโยชน์
10. การแตะสัมผัสอาจทำให้เกิดความสบายใจได้มาก ภาษากายเป็นการเน้นถึงความสนใจในการมาเยี่ยมของท่าน
ให้ระมัดระวังสำหรับในบางกรณีที่การสัมผัสนั้นเป็นสิ่งที่ไม่สมควร
11. พยายามบอกล่วงหน้าถึงการเยี่ยมครั้งต่อไปของท่านเสมอ บอกเขาให้มั่นใจในคำภาวนาของชุมชนและความพยายามของท่านที่จะทำทุกอย่างเท่าที่จะสามารถทำได้เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยและครอบครัวของเขา
ช่วงที่ไม่มีการเยี่ยมหากจะมีการโทรศัพท์ไปไถ่ถามจะเป็นความบรรเทาที่ดีสำหรับครอบครัว
ทำให้พวกเขารู้สึกว่า ยังมีใครบางคนที่คิดถึงพวกเขาและพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือ
12. การเยี่ยมอย่าใช้เวลายาวนานเกินไป ผู้ป่วยอาจมีคนมาเยี่ยมแยะ หรืออาจเหน็ดเหนื่อยง่าย
จงมีความรู้สึกไวต่อความเป็นส่วนตัวของเขาด้วย
13. จงอย่าได้พูดเกี่ยวกับผู้ป่วยขณะที่อยู่พร้อมหน้ากัน ถึงแม้ผู้ป่วยจะไม่รู้สึกตัวแล้วก็ตาม
เขาอาจได้ยินท่านพูดถึงแม้ว่าเขาไม่สามารถที่จะพูดตอบ เป็นเรื่องน่าละอายมากที่เขาจะถูกกล่าวถึงและได้รับการปฏิบัติเหมือนกับเป็นตัวปัญหา
14. เวลาที่ท่านไปเยี่ยมบังเอิญผู้ป่วยเกิดหลับ ขอให้ท่านสวดภาวนาเงียบๆ
หากมีสมาชิกในครอบครัวอยู่ด้วย ท่านอาจใช้เวลานั้นไถ่ถามถึงความต้องการและสถานการณ์ต่างๆ
ของพวกเขาด้วยก็ได้
หลังการเยี่ยม
1. เขียนบันทึกเกี่ยวกับกิจกรรมของท่านต่อผู้ป่วยที่ท่านไปเยี่ยมมา
มอบรายงานนั้นให้กลุ่มคริสตชนเล็กๆ และระลึกเสมอว่าทุกสิ่งที่พูดไว้เป็นความลับจะนำไปวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้
2. วางแผนการติดตามงานที่ให้สัญญาไว้ พยายามชวนเพื่อนบ้านใกล้เคียงให้เข้ามามีส่วนร่วมให้มากที่สุด
3. สวดภาวนาให้ผู้ป่วยและครอบครัวที่ท่านไปเยี่ยมทุกวัน
4. เป็นการดีกว่าที่จะรวมจุดให้ความช่วยเหลือครอบครัวเดียวหรือผู้ป่วยคนเดียวด้วยความสัตย์ซื่อ
แทนที่จะทำการเยี่ยมเยียนมากมายหลายแห่งแล้วเฉื่อยแฉะในการติดตามผล
พยายามหาเพื่อนมาร่วมด้วยหลายๆ คนในพันธกิจนี้หากมีผู้ป่วยหลายคนที่ต้องการความช่วยเหลือ
5. การเยี่ยมครั้งต่อไป ควรโทรศัพท์ไปขอนัดเสียก่อน
6. เมื่อผู้ป่วยหายดีแล้วหรือเมื่อสมาชิกคนหนึ่งคนใดในครอบครัวเสียชีวิตไป
ขอให้ไปเยี่ยมต่ออีกระยะหนึ่งเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ด้วยดีในสถานการณ์ใหม่
7. อย่ามอบความช่วยเหลือด้านการเงินจากกระเป๋าของท่านเอง โปรดจำไว้ว่าท่านไปในพระนามของพระคริสตเจ้าและท่านถูกส่งไปโดยชุมชน
ท่านไม่อาจที่จะช่วยหลายๆ คนได้ หากท่านผูกพันกับครอบครัวใดครอบครัวหนึ่งจนเกินไป
พวกเขาอาจไม่มีความสามารถที่จะคืนเงินให้ท่าน และนั่นอาจกลายเป็นปัญหาของความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน
การเยี่ยมผู้สูงอายุในโรงพยาบาล
หลักการเยี่ยมผู้ป่วยที่บ้านใช้ได้หมดยกเว้นข้อต่อไปนี้
1. ต้องเป็นการเยี่ยมที่ใช้เวลาเพียงสั้นๆ เพราะต้องคำนึงถึงกฎระเบียบของโรงพยาบาลและสภาพของผู้ป่วย
2. ขออนุญาตผู้ป่วยก่อนที่จะนั่งที่ขอบเตียง การนั่งที่ขอบเตียงก็เพื่อที่จะไม่ให้ผู้ป่วยต้องเกร็งมองหรือฟังท่าน
3. หากท่านรู้จักกับผู้ป่วยดี ให้จับมือเขาเพื่อแสดงถึงความสนิทสนม
4. ฟังให้มากกว่าพูด
5. ไม่เหมาะสมที่ท่านจะเสนอแพทย์คนนั้นคนนี้หรือเปลี่ยนวิธีการรักษา
แม้ว่าท่านจะรู้สึกว่าอาการของผู้ป่วยไม่ดีขึ้นก็ตาม ผู้ป่วยอาจรู้สึกว่าไม่ปลอดภัยหรือเกิดอาการสับสนขึ้นได้
6. อย่าสอดรู้สอดเห็นไปในจุดที่ไม่ควรรู้เพื่อสนองตัณหาความอยากรู้อยากเห็นของท่าน
อย่าอ่านแผ่นกระดานชาร์ตผู้ป่วยที่ปลายเตียงเพื่อทราบว่าแพทย์สั่งยาอะไรไปบ้าง
จงพอใจกับข้อมูลที่ผู้ป่วยพูดให้ฟังเท่านั้น
7. จงสนทนาแบบสร้างสรรค์และให้กำลังใจโดยไม่ต้องตัดสินอะไรทั้งสิ้น
8. จงมีความรู้สึกไวต่อผู้ป่วยอื่นๆ ในห้อง ทักทายพวกเขาอย่างมีมารยาทเมื่อแรกพบและเมื่ออำลา
อย่าส่งเสียงดังหรือสวดดังเกินควร บทขับร้องและบทสวดยาวๆ อาจไม่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการหนัก
|